4 จีราคาสูงไม่ทำธุรกิจเจ๊ง กสทช.เชื่อเอกชนทำการบ้านมาดีถึงเคาะสู้
วันที่ : 08-12-2015
โดย : ไทยรัฐออนไลน์

14 พฤศจิกายน 2558

“ประจิน” ปลื้มประมูล 4 จี โกยรายได้เข้ารัฐกว่า 8 หมื่นล้านบาท มั่นใจเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน “อุตตม” เร่งทำแผนพลิกฟื้นทีโอที–แคท ให้นโยบายนำทรัพย์สินมาสร้างประโยชน์เพื่อความอยู่รอดขององค์กร อย่ายึดติดแค่คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ด้านเลขา กสทช. เชื่อเอกชนวิเคราะห์ดีแล้ว ประมูล 4 จีราคาสูงไม่สร้างปัญหาธุรกิจ

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานให้ผู้บริหารกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ว่า ผลการประมูล 4 จี บนคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะเม็ดเงินที่ได้จากการประมูลจำนวน 80,778 ล้านบาท ต้องนำส่งเป็นรายได้รัฐ ซึ่งจากการติดตามดูเห็นว่าการประมูลเป็นไปตามกฎกติกา และรัฐบาลเชื่อว่าการประมูล 4 จีจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีที่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่เรียกร้องสิทธิ์ในการใช้คลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ รวมถึงบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท ที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ได้ไปยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อรักษาสิทธิ์ในการคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทาง รมว.ไอซีที ได้ทำความเข้าใจกับผู้บริหารทีโอทีและแคทแล้ว เพราะฉะนั้น การฟ้องร้องหรือไม่ฟ้องเป็นดุลพินิจของผู้บริหาร และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจทีโอที ซึ่งผู้บริหารก็ต้องแสดงบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง ขณะเดียวกันต้องนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กรด้วย

นายอุตตม สาวนายน รมว.ไอซีที กล่าวว่า ทีโอทีและแคท กำลังเร่งทำแผนพื้นฟูองค์กรอย่างเร่งด่วน เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งเชื่อว่าในเร็วๆนี้คงมีแผนการดำเนินงานชัดเจน โดยทั้งสองรัฐวิสาหกิจมีทรัพย์สินอยู่มาก จำเป็นต้องนำทรัพย์สินนั้นมาสร้างรายได้เพิ่ม และการประมูล 4 จีที่ผ่านมา ก็สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจโทรคมนาคมในหลายมิติ ที่ทีโอทีและแคทต้องไปคิดว่าจะนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรได้อย่างไรด้วย

นายอุตตม กล่าวต่อว่า ทีโอที มีคลื่นความถี่ทั้ง 2300 เมกะเฮิรตซ์ และ 1900 เมกะเฮิรตซ์ ที่สามารถนำมาสร้างรายได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจ คาดว่าจะมีข้อสรุปในเร็วๆนี้ ขณะเดียวกันยังได้รับรายงานจากทีโอทีว่า ทีโอทียังมีคลื่น 1500 เมกะเฮิรตซ์อีกด้วย ฉะนั้น ทีโอที ควรใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะยึดติดกับคลื่นใดคลื่นหนึ่ง โดยเฉพาะคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ แต่ต้องการให้ใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่จำนวนมากนั้น ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร

นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทีโอที มีมติเลือกบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส เป็นพันธมิตรธุรกิจมือถือบนคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ โดยให้ทีโอทีลงนามในบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (เอ็มโอยู) กับเอไอเอสโดยเร็ว เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้ และสร้างรายได้ให้ทีโอที เพราะขั้นตอนการทำสัญญาการเป็นพันธมิตรนั้นใช้เวลานาน คาดว่าจะเซ็นสัญญาภายในเดือน ธ.ค.นี้ เบื้องต้นจะทำสถานีฐานบริการมือถือเพิ่มขึ้นอีก 10,000 ต้น จากปัจจุบัน 5,320 ต้น

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเอไอเอสได้เสนอรายได้ให้ทีโอทีในวงเงิน 3,600-4,500 ล้านบาทต่อปี หากมีการขยายเครือข่ายเพิ่มขึ้น ก็จะเพิ่มส่วนแบ่งรายได้ให้เพิ่มขึ้นด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากราคาประมูลใบอนุญาต 4 จี คลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งมีมูลค่ารวม 2 ใบอนุญาตที่ 80,778 ล้านบาทนั้น คำนวณเป็นต้นทุนการให้บริการของผู้ชนะการประมูลได้ที่ 20 บาทต่อ 1 เมกะเฮิรตซ์ ต่อ 1 ประชากร ถือเป็นต้นทุนที่สูงกว่าต้นทุนที่สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือไอทียู เคยคำนวณว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนที่ 11 บาท

นอกจากนั้นราคาดังกล่าวยังถือเป็นระดับราคาที่สูงที่สุดในการประมูลคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ทั่วโลก ในช่วงระหว่างปี 2549-2557 ที่ผ่านมา โดยราคาเฉลี่ยต้นทุนผู้ชนะการประมูลคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ทั่วโลกราว 45 ประเทศ อยู่ที่ระดับราคา 7-11 บาทต่อ 1 เมกะเฮิรตซ์ ต่อ 1 ประชากร

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดเผยว่า มั่นใจว่าผู้ประกอบการโทรคมนาคม ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ หากเห็นว่าต้นทุนการประมูลสูงเกินไป ก็คงไม่แข่งขันกันเคาะราคาขนาดนี้ แต่ละรายคงวิเคราะห์ต้นทุนกันมาเป็นอย่างดีแล้ว ส่วนตัวจึงไม่มีความเป็นห่วงว่าต้นทุนจะทำให้ผู้ประกอบการประสบความยากลำบากในการทำธุรกิจ

นอกจากนั้น ธุรกิจนี้ยังแตกต่างจากธุรกิจทีวีดิจิตอล ซึ่งมีการเปิดประมูลใบอนุญาตเช่นกัน และมีผู้ล้มเหลวในการประกอบธุรกิจแล้ว เนื่องจากธุรกิจทีวี ไม่มีรายได้จากการขายค่าบริการ แต่มีรายได้จากการขายโฆษณา ซึ่งหากโฆษณาไม่เข้า ก็อยู่ลำบาก ขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมนั้น มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ ซึ่งหากมีฐานลูกค้าจำนวนหนึ่ง ก็สามารถอยู่รอดได้

http://www.thairath.co.th/content/539301


Tags:

Back to Top