คอลัมน์ นักวิชาการสับกสทช.กสทช.แนะทางแก้ปัญหา
วันที่ : 04-11-2013
โดย : สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คอลัมน์ นักวิชาการสับ กสทช. กสทช. แนะทางแก้ปัญหา

สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) จัดสัมมนาในเรื่องสิทธิเสรีภาพสื่อกับพ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ : หัวข้อ "เสรีภาพสื่อในวันที่ไร้ฮอร์โมนส์"  งานสัมมนาประกอบด้วย  รศ.ดร.ชลิตาภร  ส่งสัมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์  อาจารย์สุมาลี เสือโรจน์ คณะวารสารธรรมศาสตร์  นายวรพจน์  วงศ์กิจรุ่งโรจน์  นักวิจัยโครงการติดตามนโยบายสื่อและโทรคมนาคม นายนพจักษ์  อัตตานนท์นักข่าวจากเนชั่น  ดำเนินรายการโดยผศ.รุจน์ โกมลบุตร คณะวารสาร ธรรมศาสตร์

คณะวารสารศาสตร์ฯ มธ.ได้ประมวลจากเวทีสัมมนาเพื่อวิพากษ์ถึงปัญหาเรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์พ.ศ....(ร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ) และจัดทำข้อเสนอเพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขมาพร้อมข้อแสนอแนะ 5 ประการ ของร่างประกาศดังกล่าวจากงานเสวนาฯ ดังต่อไปนี้

ประการแรกถ้อยคำที่กำหนดเอาไว้ว่าเป็นเนื้อหาต้องห้ามนั้นยังถือเป็นประเด็นที่เปิดให้เกิดการถกเถียงแทนที่จะออกมาตรการรัฐควรทำความเข้าใจว่าที่สุดแล้วไม่ใช่เรื่องกติกาแต่มันเป็นความเชื่อบางชุดที่ยังต้องปล่อยให้เกิดการถกเถียงโดยรัฐควรเริ่มจากการเชื่อมั่นในประชาชนคืนอำนาจให้ประชาชนแต่ควรสร้างพื้นที่ให้ประชาชนถกเถียงแลกเปลี่ยนกัน

ประการที่สอง แทนที่เนื้อหาในร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯจะกำหนดเพียงรายละเอียดของการให้อำนาจผู้รับใบอนุญาตใช้ดุลพินิจของตนควบคุมสื่อ ผ่านการสั่งปรับหรือถอนใบอนุญาต ร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ ฉบับนี้ ควรศึกษากลไกอื่นๆ ซึ่งจะรักษาสมดุลของสิทธิเสรีภาพกับประโยชน์สาธารณะ เช่น กลไก watershed ที่ใช้เรื่องการกำหนดเวลาสำหรับเนื้อหาบางประเภท เช่น เนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน สามารถนำเสนอได้ในช่วงเวลาเฉพาะที่กำหนดไว้

ประการที่สามในร่างประกาศฯ นี้ควรมีเนื้อหาว่าด้วยการกำกับดูแลตัวเองหรือการกำกับดูแลร่วมดังที่กำหนดเอาไว้ในมาตรา 39 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ อีกทั้งยังควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่ให้รายละเอียดถึงวิธีการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจรวมถึงกำหนดรายละเอียดขั้นตอนการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจของทั้งผู้รับใบอนุญาตและกสทช.ด้วย

ประการที่สี่ กสทช. ควรสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากยิ่งขึ้นซึ่งแทนที่จะเปิดการมีส่วนร่วมเพียงแค่ช่วงการประชาพิจารณ์ซึ่งเป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นในช่วงท้ายเท่านั้นกสทช.ควรมีกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมกระบวนการยกร่างกำหนดเจตนารมณ์ และกำหนดรายละเอียดร่วมกันทั้งกระบวนการ

โดยร่างประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์พ.ศ....(ร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ) ที่คณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กสทช.เสนอต่อที่ประชุมใหญ่ กสทช. ไปเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 ร่างดังกล่าวมีใจความถึงเนื้อหาที่ต้องห้ามนำเสนอในสื่อวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์

โดยขยายความจากมาตรา 37 แห่งพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ที่ห้ามนำเสนอเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจารหรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรงอีกทั้งยังกำหนดมาตรการการดำเนินรายการที่เน้นควบคุมรายการเชิงข่าวอย่างเข้มงวด

ทั้งหมดนี้เป็นการสุรปเนื้อหาและเสียงสะท้อนบนเวทีสัมมนาเพื่อนำเสนอให้กสทช.คิดและนำไปไตร่ตรองก่อนดำเนินการหรือเดินหน้ากระทำการอะไรต่อไป


Back to Top